วันศุกร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2557

รีวิว ประโยชน์ของสาหร่ายเกลียวทอง





สาหร่ายสไปรูลิน่าให้สารอาหารประเภทกรดอะมิโนที่จำเป็นในปริมาณสูงทั้ง 8 ชนิดดังนี้

1.   ไอโซลูซีน (Isoluecine) ที่ช่วยในการเจริญเติบโตพัฒนาการของความทรงจำ และยังใช้ในการสังเคราะห์กรดอะมิโนไม่จำเป็นบางตัวในร่างกายอีกด้วย

2.    ลูซีน (Luecine) กระตุ้นการทำงานของสมองทำให้กล้ามเนื้อมีกำลังมากขึ้น

3.    ไลซีน (Lysine) เป็นโครงสร้างของเซลล์เม็ดเลือด ที่มีหน้าที่สร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย เพิ่มความแข็งแรงให้กับระบบไหลเวียนโลหิต และทำให้การเจริญเติบโตของเซลล์ในร่างกายเป็นไปอย่างปกติ

4.    เมไธโอนีน (Methionine) ช่วยในกระบวนการเผาผลาญไขมันและกรดไขมัน ทำให้ตับมีสุขภาพดี และยังลดความเครียดของสมอง

5.    เฟนินอลานีน (Phynynollanine) ช่วยให้ต่อมไธรอยด์นำไปใช้สร้างไธรอยด์ฮอร์โมนที่ควบคุมพลังงานพื้นฐานของร่างกายที่เรียกว่า BMR

6.    เทรโอนีน (Threonoine) ช่วยให้การทำงานของระบบทางเดินอาหารเป็นปกติ และช่วยให้การดูดซึมสารอาหารเข้าสู่กระแสโลหิตเป็นไปได้ด้วยดี

7.    ทริปโตแฟน (Tryptophan) ทำให้ร่างกายสามารถนำเอาวิตามิน B มาใช้ประโยชน์ได้เป็นอย่างดี ซึ่งส่งผลทำให้ระบบประสาททำงานได้ดีขึ้น เชื่อว่าให้ผลในการควบคุมอารมณ์และทำให้ใจเย็นลงได้

8.   วาลีน (Valine) กระตุ้นการทำงานของระบบการควบคุมอารมณ์ และการประสานงานการทำงานของระบบกล้ามเนื้อ

นอกจากนั้นยังมีวิตามิน B12 ที่พบว่า มีผลดีต่อการสร้างเม็ดเลือด ที่เป็นระบบภูมิต้านทานที่ดีของร่างกาย ให้วิตามิน A ในรูปของเบต้าแคโรทีน (Betacarotene) ที่ให้ผลเป็นสารต้านการเกิดปฏิกิริยาอ๊อกซิเดชั่น โดยการกำจัดอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้น มีวิตามัน B1 เป็นโคเอ็นไซม์ในขบวนการเผาผลาญสารอาหารและรักษาระดับ

กลูโคสในเลือด วิตามิน E ปกป้องระบบหัวใจและระบบเส้นเลือด ช่วยให้เซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายสามารถนำเอาอ๊อกซิเจนไปใช้ได้เป็นอย่างดี และพบว่าให้ผลชะลอความแก่ได้

สาหร่ายสไปรูลิน่าเป็นสาหร่ายที่มีประโยชน์และมีสรรพคุณมากมายดังที่ได้กล่าวมาแล้ว แต่หากต้องการสุขภาพที่ดี จะต้องมีความสมดุลของการรับประทานอาหาร การออกกำลังกาย และการพักผ่อนอย่างเพียงพอควบคู่ไปด้วย


//////////////////////////////////////////////////////////////////////////

สาหร่ายเกลียวทอง มาจากคำว่าภาษาอังกฤษว่า สไปรัล (Spiral) หมายถึง รูปเกลียววนแบบ
ขดหอย จุดกำเนิดดั้งเดิม ของสาหร่ายเกลียวทองคือประเทศเม็กซิโก ทวีปแอฟริกาและที่อื่น ๆ
อีกหลายแห่ง ซึ่งชนเผ่าพื้นเมืองที่อาศัยอยู่ในแหล่งต่าง ๆ เหล่านี้ได้ใช้เป็นอาหารประจำวันมา
เป็นเวลาหลายพันปี มีเรื่องเล่าว่าชนเผ่าหนึ่งในประเทศชาด ทวีปแอฟริกาถิ่นที่อยู่เป็นโซน ที่แห้ง
แล้งที่สุด อาหารการกินแทบไม่มีอะไรพอที่จะเป็นประโยชน์ต่อร่างกายได้เลย

แต่ผู้คนชาวเผ่านี้มีรูปร่างสูงใหญ่และ แข็งแรงมาก องค์การเอฟเอโอ (FAO) แห่งสหประชาชาติ
ไปศึกษาพบเข้า จึงความทึ่งมาก ได้ใช้ความพยายามค้นหาสิ่ง ที่สร้างร่างกายของชาวเผ่านี้อยู่
นาน ก็พบว่าในทะเลสาบใหญ่ของหมู่บ้านมีอาหารเสริมเป็นสาหร่ายชนิดนี้นี่เอง

สาหร่าย เกลียวทองเป็นสาหร่ายหลายเซลล์ สีเขียวแกมน้ำเงิน ขนาดเล็กมากจนมองด้วยตาเปล่า
ไม่เห็น มีโปรตีนสูงถึง 60-70% โดยน้ำหนักแห้ง องค์ประกอบของโปรตีนมีกรดอะมิโนถึง 18
ตัว มีวิตามินที่มีคุณค่าต่าง ๆ เช่น วิตามินเอ บี1 บี2 บี12 อี เอช ฯลฯ
และเมื่อไม่นานที่ผ่านมานี้สาหร่ายที่ได้รับความนิยมสูง คือ สาหร่ายคลอเรลลา (Chlorella) ซึ่งเป็นสาหร่ายเซลเดียว เมื่อเปรียบเทียบองค์ประกอบสารอินทรีย์ได้ผลดังนี้

องค์ประกอบสารอินทรีย์     สาหร่ายเกลียวทอง     คลอเรลลา
โปรตีน                               69.5% - 71%        40 - 56 %
คาร์โบไฮเดรต                    12.5 %                   10 - 25 %
ไขมัน                                 8.0 %                     10 - 30 %
วิตามิน โปรวิตามิน เอ บี1 บี2 บี6 บี12 อี นิโคตินิล แอซิด โฟลิค แอซิด
โปรวิตามิน เอ บี1 บี2 บี6 นิโคติค แอซิด
สารให้สี คลอโรฟิลล์
แคโรตินอยด์
ไฟโคไซยานิน
คลอโรฟิลล์
แคโรตินอยด์


เมื่อเปรียบเทียบระหว่างสาหร่ายเกลียวทองและครอเรลลา จะเห็นได้ว่า สาหร่ายเกลียวทอง
มีปริมาณโปรตีนสูง มีวิตามินมากกว่า มีสารให้สีไฟโคไซยานินซึ่งทำให้สาหร่ายเกลียวทอง
มีสีเขียวแกมน้ำเงินซึ่งคลอเรลลาไม่มี แต่แท้ที่จริงแล้ว สาหร่ายเกลียวทองนั้น เหนือกว่า
คลอเรลลาในแง่มุมสำคัญหลายข้อ ดังนี้

1. สาหร่ายเกลียวทอง เป็นสาหร่ายหลายเซลล์ที่มีขนาดใหญ่กว่าคลอเรลลาถึงกว่า 100 เท่า
    จึงไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องหมุนเหวี่ยงในการเก็บเกี่ยว
2. ผนังเซลล์ของสาหร่ายเกลียวทองนั้นบาง ทำให้ย่อยง่าย ดังนั้นจึงย่อยและดูดซึมได้เร็ว
3. คุณค่าทางอาหารมีมากกว่า ดังแสดงให้เห็นในตาราง

สำหรับสรรพคุณทางยาที่น่าพิศวง ของสาหร่ายเกลียวทอง ตัวอย่างการรักษาที่ได้ผลอย่างน่า
ประหลาดใจ ในคนไข้โรคเบาหวาน โรคตับ อาการตามัว โรคโลหิตจางและอื่น ๆ สามารถหา
รายละเอียดได้ใน งานแปลลำดับที่ 105 ของสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ เรื่อง
"ความลับของสาหร่ายเกลียวทองผลการรักษาที่แพทย์ญี่ปุ่นค้นพบ" เพราะในขณะนี้องค์การ
อาหารและยา ได้จัดสาหร่ายเกลียวทองเป็นเพียงผักชนิดหนึ่ง เหมือนเช่นอาหารที่รับประทาน
ทั่วไป ดังนั้นจึงไม่ควรที่จะแอบอ้างสรรพคุณในการรักษาโรค

สำหรับผู้ป่วยการใช้ควรได้รับคำแนะนำจากแพทย์ควบคู่ไปกับการใช้ยาแผนปัจจุบัน
ซึ่งสาหร่ายเกลียวทองเป็นอาหารเสริมที่จะช่วยเสริมและขยายอำนาจของการรักษาของยาอีกด้วย
นอกจากนี้สาหร่ายเกลียวทองมิได้เหมาะสำหรับผู้ป่วยเท่านั้น หากยังเหมาะกับผู้ที่มีสุขภาพดีอยู่แล้ว
เพื่อเป็นปราการในการป้องกันโรค ดังนั้นสาหร่ายเกลียวทองจึงเหมาะสำหรับ

- เด็กในวัยเจริญเติบโต
- ผู้สูงอายุ เพื่อบำรุงร่างกายให้แข็งแรง
- นักกีฬาทุกประเภท
- บุคคลทั่วไปที่ต้องการเสริมสร้างความแข็งแรง สมบูรณ์ ให้แก่ร่างกาย
- สตรีในระหว่างตั้งครรภ์และหลังคลอด
- ผู้ที่ตรากตรำทำงานหนัก เครียด
- ผู้ที่เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย นอนไม่หลับ
- ผู้ป่วยในระยะพักฟื้นและหลังผ่าตัด
- ผู้ที่มีปัญหาในเรื่องโรคกระเพาะ โลหิตจาง เบาหวาน โรคตับ
- ผู้ที่รับประทานอาหารมังสวิรัติ
- ผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก
- ผู้ที่ขาดสารอาหาร

สาหร่ายเกลียวทอง เป็นอาหารเสริมที่มีคุณประโยชน์มหาศาล การที่จะพิจารณาว่าควรบริโภค
หรือไม่นั้น ก็ย่อมขึ้นกับว่าเรารับประทานอาหารที่มีประโยชน์เพียงพอหรือไม่ และสิ่งที่ลืมเสีย
ไม่ได้คือควรจะ ออกกำลังกาย อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ๆ ละประมาณ 30 นาที ดื่มน้ำวันละ
6-8 แก้ว นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอทำจิตใจให้สงบ ไม่เครียด เพียงเท่านี้เราก็จะมีสุขภาพ
ที่ดีทั้งกายและใจ

แต่ถ้ามีกำลังทรัพย์เพียงพอก็อาจจะหาอาหารเสริมสุขภาพมารับประทานก็ไม่ผิดอะไร จะได้มี
สุขภาพที่แข็งแรงยิ่งขึ้น


ญี่ปุ่นเป็นชนชาติที่มีความผูกพันอยู่กับสาหร่ายทะเลและสาหร่ายน้ำจืด อยู่มาก จนเห็นได้ว่าสาหร่าย
กลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมการบริโภคของ ชาวญี่ปุ่น มีผู้ให้ความเห็นว่า การที่ชาวญี่ปุ่น
มีสุขภาพแข็งแรงและอายุยืน ปลอดจากโรคภัยหลายชนิดที่ชาวตะวันตกประสบกันอยู่นี้ เนื่องจาก
ชาวญี่ปุ่นรับประทานอาหารที่มีความสมดุลมากกว่า เช่น ปลา และสาหร่าย สาหร่ายที่ชาวญี่ปุ่น
นำมารับประทานนั้น มีตั้งแต่สาหร่าย ทะเลซึ่งอุดมไปด้วยไอโอดีนและแร่ธาตุอื่น ๆ

สาหร่ายหลายเซลล์ เช่น พวกสไปรูไลน่า หรือที่คนไทยรู้จักในชื่อว่า "สาหร่ายเกลียวทอง" อันเป็น
สาหร่ายน้ำกร่อย นิยมใช้เป็นอาหารเสริมโปรตีน เนื่องจากมีโปรตีนสูงมาก มีกรดไขมันที่หายาก เช่น
กรดแกมม่าไลโนเลนิก (Gamma Linolenic) ที่พบเฉพาะในพืชบางชนิดเท่านั้น

ทุกวันนี้มนุษย์กำลังหันกลับเข้าสู่ธรรมชาติ เพื่อหลีกเลี่ยงการ ใช้สารเคมีสังเคราะห์ในการบำบัด
รักษาโรค ถ้าสิ่งใดที่สามารถป้องกันได้ ด้วยสารจากธรรมชาติก็จะเป็นที่นิยมยิ่งนัก สาหร่าย
เกลียวทอง เป็นพืชธรรมชาติชนิดหนึ่ง ซึ่งถ้าได้รับประทานติดต่อกันนานพอสมควร จะมีผลดีต่อ
สุขภาพพลานามัยหลายประการ

สาหร่ายเกลียวทอง เป็นพืชหลายเซลล์ มีลักษณะเป็นเกลียว ผนังเซลล์ประกอบด้วยน้ำตาลชนิดต่าง ๆ
และโปรตีนซึ่งแตกต่างจาก พืชชนิดอื่น ๆ ที่ส่วนใหญ่ประกอบด้วยเซลลูโลส เป็นสาหร่ายสีเขียวเข้ม
ชอบขึ้นในน้ำอุ่นที่มีความเป็นด่างสูง แต่สามารถปรับตัวให้อยู่ใน สภาพแวดล้อมต่าง ๆ ได้ดีกว่า
พืชชนิดอื่น ปัจจุบันเป็นที่นิยมนำมา เป็นอาหารกันมาก จึงมีการเพาะเลี้ยงเป็นอุตสาหกรรมเพื่อให้
เพียงพอ ต่อความต้องการ ประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศแรกที่ทำการเพาะเลี้ยง ต่อมาเป็น
ประเทศไทย อินเดีย จีน และประเทศอื่น ๆ

คุณค่าทางโภชนาการของสาหร่ายเกลียวทอง
สาหร่ายเกลียวทอง จะมีคุณค่าทางอาหารเช่นเดียวกับอาหารชนิดอื่น ๆ ที่น่าสนใจสำหรับแพทย์
และนักโภชนาการ คือมีโปรตีนสูงถึง 65% เมื่อ เปรียบเทียบกับพืชชนิดอื่น ๆ ที่มีโปรตีนสูง เช่น
ถั่วเหลือง ซึ่งให้โปรตีนเพียง 37% สาหร่ายเกลียวทองจึงนับเป็นพืชที่ให้โปรตีนสูง ทั้งยังพบว่า
โปรตีนของสาหร่ายเกลียวทองมีปริมาณสูงกว่าเนื้อสัตว์ สาหร่ายเกลียวทอง จึงนับได้ว่าเป็นแหล่ง
โปรตีนอีกแหล่งหนึ่งได้ นอกจากนี้ ยังประกอบไปด้วย กรดแกมม่าไลโนเลนิก (GLA) สูงกว่าพืช
ชนิดอื่น ๆ ซึ่งกรดนี้มีคุณสมบัติ ช่วยลดไขมันในเลือด ลดความดันโลหิต บรรเทาอาการข้ออักเสบ
ปวดประจำเดือน ผิวหนังอักเสบ และสิวฝ้า

วิตามินและเกลือแร่ในสาหร่ายเกลียวทอง
สาหร่ายเกลียวทอง มีวิตามินอยู่ในปริมาณต่าง ๆ กัน วิตามิน ที่น่าสนใจได้แก่ วิตามิน B12 ซึ่งปกติ
จะมีมากในเนื้อสัตว์ และมีปริมาณ น้อยมากในพืชทั่ว ๆ ไป ผู้ที่รับประทานมังสวิรัติจึงมักขาดวิตามิน
B12 ซึ่งทำให้เกิดโลหิตจางได้ สาหร่ายเกลียวทองจึงเป็นทางเลือกสำหรับ ผู้ที่รับประทานอาหาร
มังสวิรัติ ทั้งนี้เพราะสาหร่ายเกลียวทองเป็นพืชที่มีวิตามิน B12 สูง วิตามินอีกชนิดหนึ่งที่มีมาก
ในสาหร่ายเกลียวทองคือ วิตามิน A ซึ่งอยู่ในรูปของเบต้าแคโรทีน มีบทบาทสำคัญในการลด
อนุมูลอิสระ (free radical) ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันว่าผู้ที่รับประทานเบต้าแคโรทีนจะมีภูมิคุ้มกัน
โรคสูง ประโยชน์ของเบต้าแคโรทีนจึงนำมาใช้เป็นสารต้านมะเร็งชนิดต่าง ๆ เป็นแหล่งอาหาร
ที่มีวิตามิน E, วิตามิน C, วิตามิน B1, B6 และไนอาซีนสูง

นอกจากวิตามินต่าง ๆ แล้ว สาหร่ายเกลียวทองยังอุดมไปด้วยเกลือแร่ที่ จำเป็นต่อร่างกายอีกมากมาย
เช่น ธาตุเหล็ก สังกะสี แมงกานีส ทองแดง เซเลเนียม และแคลเซียม นอกจากนี้เม็ดสีในสาหร่าย
เกลียวทอง ยังประกอบด้วยสีเขียวของคลอโรฟีลล์ สีน้ำเงินของไพโคไซยานินสีส้มของเบต้าแคโรทีน
และแซนโตฟิล
มีรายงานวิจัยหลายเรื่องพิสูจน์ว่า คลอโรฟีลล์ หรืออนุพันธ์ มีผลต่อ การเจริญของแบคทีเรียและสัตว์
การเผาผลาญอาหาร การหายใจ กระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดง การทำงานของฮอร์โมน และการ
กำจัดสารพิษออกจากร่างกาย

คุณค่าทางเสริมสร้างภูมิต้านทานโรคต่าง ๆ
สาหร่ายเกลียวทอง อุดมไปด้วยสารอาหารและวิตามิน-เกลือแร่มากมาก เหมาะสำหรับใช้เป็นอาหาร
เสริม เพื่อเสริมสร้างสุขภาพ สร้างภูมิคุ้มกันโรค ระบบขับถ่ายสารพิษ และป้องกันการเกิดโรค
โลหิตจางในผู้ที่รับประทาน อาหารมังสวิรัติ  ดังนั้นสาหร่ายเกลียวทองจึงเป็นพืชที่น่าจะส่งเสริม
ให้เพาะเลี้ยงให้มี ปริมาณเพียงพอ เพื่อใช้เป็นแหล่งอาหารประเภทโปรตีน เพราะสามารถ เพาะเลี้ยง
ได้เองในประเทศไทย

ข้อมูลจาก
โดย 1: ภ.ญ.ผุสดี สุคนธมาน
       2: อาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข
http://www.moph.go.th/gpo/news/brain/food05.htm


ความรู้เรื่องสาหร่ายเกลียวทอง
สาหร่ายเกลียวทอง ที่โครงการส่วนพระองค์สวนจิตรลดาศึกษาและเพาะเลี้ยงมีชื่อทางวิทยาศาสตร์
ว่า Spirulina plantensis มีขนาดเล็กมองด้วยตาเปล่าแทบไม่เห็น มีลักษณะจำเพาะที่เห็นด้วย
กล้องจุลทรรศน์ เป็นสีเขียวแกมน้ำเงิน เป็นสายยาวบ้าง สั้นบ้าง ลักษณะของสายบิดเป็นเกลียว
มีแหล่งอาศัยทั้งในน้ำจืด น้ำกร่อย และน้ำเค็ม แต่ส่วนใหญ่จะพบในน้ำจืดมากกว่าน้ำเค็ม และ
เจริญเติบโตได้ทั้งในน้ำสะอาดและน้ำทิ้ง หรือน้ำเสียจากแหล่งต่างๆ

สาหร่ายเกลียวทองเจริญเติบโตได้ดีหรือไม่ขึ้นอยู่กับปัจจัยที่มีผลต่อการเจริญเติบโตหลายประการ
และคุณค่าทางอาหารจะแตกต่างกันไปตามสิ่งแวดล้อมที่สาหร่ายเกลียวทองเจริญอยู่
สาหร่ายเกลียวทองมีกระบวนการผลิตที่ไม่ยุ่งยากนัก และเป็นสาหร่ายที่มีประโยชน์หลายด้าน เพราะ
เป็นแหล่งโปรตีนที่ดี และมีคุณค่าทางอาหารสูง แต่สูตรอาหารที่นำมาเพาะเลี้ยงประกอบด้วยสาร
เคมีมากมายหลายชนิดและมีราคาแพงทำให้สาหร่ายเกลียวทองมีราคาสูงไม่เหมาะจะนำมาเลี้ยงสัตว์
งานวิจัยและพัฒนา โครงการส่วนพระองค์สวนจิตรลดาจึงได้ศึกษาค้นคว้าหาส่วนผสมสำหรับ
การเพาะเลี้ยง โดยมีวัตถุประสงค์ในการนำสิ่งเหลือใช้จากโครงการส่วนพระองค์ โครงการอื่นๆ
กลับมาใช้ให้เป็นประโยชน์ เพื่อลดต้นทุนการผลิต

รีวิวก่อนใช้ สบู่สมุนไพรจีน ก๊กเลี้ยง

สบู่สมุนไพรจีน ก๊กเลี้ยง

สบู่สมุนไพรจีน ก๊กเลี้ยง ได้ผสมผสานสมุนไพรจาก บัวหิมะ ไข่มุกจีนและรากโสม ที่ช่วยฟื้นฟูและปรับสภาพผิวจากมลภาวะและวัยที่ล่วงเลย ให้มีสุขภาพดี ขลัดกลิ่นกาย และชำระล้างความมัน และสิ่งสกปรกที่อุดตันรูขุมขน ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของสิวบนใบหน้า และแผ่นหลัง พร้อมแร่ธาตุสำคัญใน พิมเสน ชามะลิ ที่ช่วยลดริ้วรวยด่งดำจากสิว ทำให้ผิวขาวกระชับเปล่งปลั่งอย่างเป็นธรรมชาติ

สบู่สมุนไพรก๊กเลี้ยง ได้รับการพัฒนาจากผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพรจีน ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ โดยนำศาสตร์ความรู้โบราณและคุณค่าของสมุนไพร มาผสมกัน

สรรพคุณ

    ช่วยปรับสภาพ และฟื้นฟูให้ผิวมีสุขภาพดี
    ขจัดกลิ่นกาย ชำระล้างความมัน กำจัดสิ่งสกปรกที่อุดตันรูขุมขน
    ช่วยลด และระงับการเกิดสิว ที่บริเวณหน้า ลำตัว และแผ่นหลัง
    ลดการเกิดริ้วรอยด่างดำจากสิว
    ช่วยให้ผิวกระชับเปล่งปลั่ง อย่างเป็นธรรมชาติ

วิธีใช้

ใช้ล้างหน้าและชำระล้างร่างกาย นวดผิวเบาๆ ทิ้งไว้สักครู่ แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด การนวดผิวช่วยให้ระบบหมุนเวียนของเลือดดีขึ้น

ส่วนประกอบสำคัญ

บัวหิมะ, รากโสม, พิมเสน, ชามะลิ, ไข่มุกจีน